Product Description
TherOmega Omega-3 Fish oil 90 เม็ด
กรดไขมันโอเมก้า 3 คืออะไร
กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย คำว่า “จำเป็น” หมายความว่าร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ ดังนั้นคุณจึงควรรับประทานสารอาหารชนิดนี้ผ่านอาหารและอาหารเสริมเป็นประจำทุกวัน
กรดไขมันโอเมก้า 3 ประกอบด้วยกรด 3 ชนิด ได้แก่
กรด Eicosapentaenoic (EPA) และ กรด docosahexaenoic acid (DHA) เป็นไขมันจากปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแฮริ่ง ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาทู และปลาเทราท์ (ส่วนใหญ่เป็นปลาที่อาศัยในเขตหนาวเย็นจะมีกรดไขมันมากกว่าปลาชนิดอื่น) จึงเรียก EPA และ DHA ว่ากรดไขมันที่มาจากปลาหรือน้ำมันปลา (Fish oil)
กรด Alphalinolenic (ALA) เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบมากที่สุดในอาหารตะวันตกส่วนใหญ่ ALA มาจากพืชเช่น น้ำมันพืช, Flaxseed และถั่ว
TherOmega Omega-3 Fish oil น้ำมันปลาแท้จากธรรมชาติ
น้ำมันปลาโอเมก้า 3 แท้ 100% จากปลา Alaskan Pollock ที่มาจากทะเลแบริ่งและอ่าวอะลาสกา
โอเมก้า 3S ความบริสุทธิ์สูง
TherOmega ประกอบด้วย EPA และ DHA 700 มิลลิกรัมต่อเม็ด ด้วยกระบวนการผลิตแบบกลั่นระดับโมเลกุล และเทคโนโลยีการอบไอน้ำเพื่อดับกลิ่น ให้ได้น้ำมันปลาที่มีความสดใหม่คงคุณค่ามากเป็นพิเศษ
เพื่อสุขภาพที่ดี
Omega -3S ช่วยบำรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันระดับไตรกลีเซอไรด์ เสริมสุขภาพมวลรวม บำรุงระบบข้อต่อและการเคลื่อนไหว เสริมสุขภาพของหัวใจ สมอง ต่อมลูกหมากและสุขภาพของดวงตา
กรดไขมันโอเมก้า 3 อันไหนที่เราควรรับประทาน
กรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้งหมดเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม EPA, DHA เป็นไขมันจากปลาที่ได้รับการการวิจัยพบว่ามีประโยชน์มากที่สุด และกรดไขมันทั้งสองชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ
TherOmega Omega-3 Fish oil ส่วนประกอบ
กรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อสุขภาพเราอย่างไร
กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ข้อมูลต่อไปนี้คือประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากกรดไขมันโอเมก้า 3
- บำรุงสุขภาพของหัวใจ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) แนะนำให้บริโภค EPA และ DHA กรดไขมันโอเมก้า 3 ปลาหลากหลายชนิด (โดยเฉพาะปลาทะเลที่มีไขมัน) อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และลองเพิ่มปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาเทราท์ เฮอริ่ง ปลาทูน่าและปลาทูลงในแผนมื้ออาหารประจำสัปดาห์ของคุณ อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- อาการอักเสบ
ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์พบว่าน้ำมันปลาโอเมก้า 3 อาจช่วยลดอาการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และในบุคคลที่ออกกำลังกายเข้มข้นสูง ด้วยเหตุนี้การวิจัยจึงให้การสนับสนุนให้เรารับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพเรื้อรังบางชนิด
- การตั้งครรภ์
บทความจาก NUTRAIngredients เมื่อเร็วๆนี้ที่เน้นศึกษาข้อดีและความสำคัญของการรับประทานกรดโอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์ จำไว้ว่าการเจริญเติบโตของทารกจะไม่สามารถผลิต DHA ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นทารกจึงต้องพึ่งแม่เพื่อรับ DHA ร่างกายแม่จึงทำการสงวน DHA ย้ายจากร่างกายเราไปยังทารกให้เพียงพอ
มีบทความของ Linus Pauling Institute จากผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สตรีที่ตั้งครรภ์และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กิน DHA อย่างน้อย 200 มิลลิกรัมทุกวัน โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 DHA มีความสัมพันธ์กับการคลอด ลดความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด และยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสมองและประสาทตาของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงช่วงทารก
- สุขภาพจิต
การวิจัยล่าสุดเริ่มมองไปที่บทบาทของกรดไขมันโอเมก้า 3 กับภาวะซึมเศร้าและอารมณ์ แม้ว่าผลการวิจัยจะยังปะปนกันและยังมีไม่มากแต่ก็พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างกรดไขมันโอเมก้า 3 กับอาการซึมเศร้าที่ลดลง การวิจัยหนึ่งพบว่าความเข้มข้นของน้ำมันตับปลาในเลือดต่ำอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ระดับความรู้สึกเศร้าหมองในหมู่ทหารสูงขึ้นจากการรบ
- ต่อมลูกหมาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่รายงานถึงประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า 3 ต่อสุขภาพของต่อมลูกหมาก การวิจัยมีการเชื่อมโยงการบริโภคปลาหรืออาหารเสริมน้ำมันปลาที่มีส่วนช่วยการรักษาอาการของโรคให้ลดลงทั้งการลดความเสี่ยงของโรคและการรักษาลดการเสียชีวิต
หลักฐานยืนยันส่วนใหญ่ยังคงแนะนำว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 อาจเป็นประโยชน์ของการทำงานต่อมลูกหมาก
เราต้องการกรดไขมันโอเมก้า 3 เท่าไหร่
ผู้ที่มีสุขภาพดีควรรับประทานปลาที่มีไขมันมากกว่าสัปดาห์ละสองครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องทานน้ำมันปลาโอเมก้า 3 เสริมก็ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารเสริมและไม่ค่อยได้ทานปลาบ่อยๆ แนะนำให้รับประทาน EPA/DHA เสริม 500 – 1000 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้มีอาการอักเสบหรือกังวลเรื่องสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทานเพื่อพิจารณาปริมาณที่เหมาะสม
โปรดจำไว้ว่าก่อนจะตัดสินใจรับประทานอาหารเสริมใดๆ ควรคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ประจำตัวก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
- บำรุงสุขภาพของหัวใจ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) แนะนำให้บริโภค EPA และ DHA กรดไขมันโอเมก้า 3 ปลาหลากหลายชนิด (โดยเฉพาะปลาทะเลที่มีไขมัน) อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และลองเพิ่มปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาเทราท์ เฮอริ่ง ปลาทูน่าและปลาทูลงในแผนมื้ออาหารประจำสัปดาห์ของคุณ อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- อาการอักเสบ
ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์พบว่าน้ำมันปลาโอเมก้า 3 อาจช่วยลดอาการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และในบุคคลที่ออกกำลังกายเข้มข้นสูง ด้วยเหตุนี้การวิจัยจึงให้การสนับสนุนให้เรารับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพเรื้อรังบางชนิด
- การตั้งครรภ์
บทความจาก NUTRAIngredients เมื่อเร็วๆนี้ที่เน้นศึกษาข้อดีและความสำคัญของการรับประทานกรดโอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์ จำไว้ว่าการเจริญเติบโตของทารกจะไม่สามารถผลิต DHA ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นทารกจึงต้องพึ่งแม่เพื่อรับ DHA ร่างกายแม่จึงทำการสงวน DHA ย้ายจากร่างกายเราไปยังทารกให้เพียงพอ
มีบทความของ Linus Pauling Institute จากผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สตรีที่ตั้งครรภ์และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กิน DHA อย่างน้อย 200 มิลลิกรัมทุกวัน โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 DHA มีความสัมพันธ์กับการคลอด ลดความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด และยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสมองและประสาทตาของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงช่วงทารก
- สุขภาพจิต
การวิจัยล่าสุดเริ่มมองไปที่บทบาทของกรดไขมันโอเมก้า 3 กับภาวะซึมเศร้าและอารมณ์ แม้ว่าผลการวิจัยจะยังปะปนกันและยังมีไม่มากแต่ก็พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างกรดไขมันโอเมก้า 3 กับอาการซึมเศร้าที่ลดลง การวิจัยหนึ่งพบว่าความเข้มข้นของน้ำมันตับปลาในเลือดต่ำอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ระดับความรู้สึกเศร้าหมองในหมู่ทหารสูงขึ้นจากการรบ
- ต่อมลูกหมาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่รายงานถึงประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า 3 ต่อสุขภาพของต่อมลูกหมาก การวิจัยมีการเชื่อมโยงการบริโภคปลาหรืออาหารเสริมน้ำมันปลาที่มีส่วนช่วยการรักษาอาการของโรคให้ลดลงทั้งการลดความเสี่ยงของโรคและการรักษาลดการเสียชีวิต
หลักฐานยืนยันส่วนใหญ่ยังคงแนะนำว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 อาจเป็นประโยชน์ของการทำงานต่อมลูกหมาก
เราต้องการกรดไขมันโอเมก้า 3 เท่าไหร่
ผู้ที่มีสุขภาพดีควรรับประทานปลาที่มีไขมันมากกว่าสัปดาห์ละสองครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องทานน้ำมันปลาโอเมก้า 3 เสริมก็ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารเสริมและไม่ค่อยได้ทานปลาบ่อยๆ แนะนำให้รับประทาน EPA/DHA เสริม 500 – 1000 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้มีอาการอักเสบหรือกังวลเรื่องสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทานเพื่อพิจารณาปริมาณที่เหมาะสม
โปรดจำไว้ว่าก่อนจะตัดสินใจรับประทานอาหารเสริมใดๆ ควรคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ประจำตัวก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
TherOmega Omega-3 Fish oil คุณภาพที่คุณไว้วางใจ
TherOmega ผลิตจากสหรัฐอเมริกา ผ่านการทดสอบและรับรองจาก NSF และ IFOS และจดทะเบียน cGMP
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ : TherOmega ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า 3 ที่มาจากปลาธรรมชาติ 100% ในแหล่งอ่าวอะลาสกาและทะเลแบริ่ง ผลิตภัณฑ์ไม่มีกลูเต็ม เป็นเม็ดแบบซอฟท์เจล ใช้เจลาตินที่มาจากวัว ได้รับการรับรองจาก BSE
ข้อแนะนำการใช้งาน : รับประทานตามคำแนะนำของแพทย์หรือที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณ
คำถามที่พบบ่อย
- กรดไขมัน Omega 3 คืออะไร
กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนซึ่งถือว่าสำคัญเพราะร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตได้เองและต้องได้รับผ่านการทานอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น
กรดไขมันโอเมก้า 3 ประกอบไปด้วย ALA, DHA และ EPA ALA สามารถพบได้ในพืชและอาหารเช่นเมล็ดแฟลกซ์ และถั่ว น้ำมันพืช DHA และ EPA พบในปลาบางชนิด เช่น ปลาทับทิม ปลาแซลมอน ปลาเทราส์ ปลาแฮร์ริ่ง ปลาทู ปลาทูน่า โอเมก้า 3 ทั้งหมดถือว่าเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่ EPA และ DHA จากน้ำมันปลาได้รับการวิจัยมากที่สุดและแสดงให้เห็นถึงผลดีต่อสุขภาพในหลายๆด้าน
- TherOmega ใช้ปลาชนิดใดและจากแหล่งกำเนิดไหน
TherOmega ใช้น้ำมันปลาอะลาสก้าตามธรรมชาติ 100% โดยใช้น้ำมันจากปลาก Alaska Pollock ที่มาจากทะเลแบริ่งและอ่าวอะลาสกา
- น้ำมันปลาของ TherOmega ใช้ปลาจากแหล่งการประมงยั่งยืนหรือไม่
ใช่ น้ำมันปลาของ TherOmega ได้รับการยืนยันจากสมาคม Marine Stewardship Council (MSC) รับรองมาตรฐานระดับ Gold Standard และมาตรฐานอีกหลายประเภท
- ถ้าฉันทานปลาอยู่แล้วควรจะทานอาหารเสริม TherOmega อีกหรือไม่
ขึ้นอยู่กับสุขภาพของตัวคุณและปริมาณปลาที่ทานในแต่ละวัน สำหรับบุคคลที่มีสุขภาพดีกินปลาทะเลที่มีไขมันมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมรายวัน สำหรับผู้ที่ไม่ทานปลาบ่อยๆ ก็ควรทานอาหารเสริม EPA/DHA 500 – 1000 มิลลิกรัมต่อวันจะเพียงพอต่อปริมาณที่ดีต่อสุขภาพระบบหัวใจ
สำหรับคนที่มีสภาวะสุขภาพบางอย่าง ปริมาณน้ำมันปลาที่มีผลต่อสุขภาพอาจจะสูงกว่าปกติจึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อกะระดับ EPA/DHA ที่ควรรับประทานต่อวัน
American Heart Association (AHA) แนะนำให้ผู้ใหญ่กินปลาให้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาทะเลที่มีไขมันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือรับประทานอาหารเสริม EPA/DHA 500 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจควรรับประทานประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการลดปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ AHA แนะนำให้ทาน 2,000 – 4,000 มิลลิกรัมต่อวันโดยอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์
- ควรรับประทาน TherOmega จำนวนเท่าไหร่
ปริมาณที่แนะนำการทาน TherOmega คือ 1-5 เม็ดต่อวัน (เม็ดซอฟท์เจล) จะได้ปริมาณ EPA/DHA จำวน 600 – 3,000 มิลลิกรัม แพทย์บางท่านอาจแนะนำให้รับประทานยามากขึ้นสำหรับบางคน ดังนั้นควรตรวจสอบปริมาณให้แน่ใจกับแพทย์ก่อนรับประทาน
- TherOmega ปราศจากสารปรอทและสารปนเปื้อนอื่นๆหรือไม่
ใช่ TherOmega ไม่มีสารปนเปื้อนจากสารปรอทและสารปนเปื้อนอื่นๆ เพราะเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันปลาจากการกลั่นโมเลกุลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน NSF® International ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของข้อมูลยา นอกจากนี้ TherOmega ได้รับการทดสอบแล้วว่าไร้สารปนเปื้อนเช่นสารปรอท ตะกั่ว และ PCBs นอกจากนี้ IFOS (International Fish Oil Standards Program) ยังให้คะแนนสูงสุด 5 ดาวกับ TherOmega แสดงถึงคุณภาพและความบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน
- ใครบ้างที่ไม่ควรทาน TherOmega
หากคุณแพ้ปลา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าสามารถทานน้ำมันปลาได้หรือไม่ (สำหรับผู้ที่แพ้ปลาหรือมังสวิรัติสามารถทาน Omega 3 ได้จากผลิตภัณฑ์อาหารเสิรมที่ทำมาจากสาหร่ายได้)
ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 EPA/DHA จำนวน 3,000 มิลลิกรัมต่อวันอาจทำให้เลือดจางได้ จึงควรระมัดระวังการรับประทานน้ำมันปลาจำนวนมาก และควรเช็คการแข็งตัวของเลือดหากรับประทานมากกว่าขนาดที่แนะนำ
** ควรหยุดยา TherOmega ประมาณ 7-10 วันก่อนและหลังการผ่าตัด
- TherOmega จะมีผลต่อยาและอาหารเสริมอื่นๆที่รับประทานอยู่หรือไม่
ใช่ อาจเป็นไปได้ จึงควรเช็คกับแพทย์ประจำตัวหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มรับประทาน หากคุณใช้ยาต่อไปนี้
ยาต้านเกล็ดเลือด (แอสไพริน, clopidogrel (Plavix), dipyridamole (Persantine), ticlopidine (Ticlid) และอื่น ๆ )
ยาต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด (ardeparin (Normiflo), dalteparin (Fragmin), enoxaparin (Lovenox), heparin และ warfarin (Coumadin)
Non-steroidal anti-inflammatory (NSAID)
อาหารเสริม : ใช้ความระมัดระวังเมื่อรับประทานสมุนไพรที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น อาหารเสริมที่มีส่วนผสม กระเทียม, แปะก๊วย(Ginkgo), Biloba เป็นต้น